บทนำ สู่ชีวิตใหม่
- Withan Thanawuth
- Oct 23
- 2 min read
ผมเข้าใจว่า คำว่า “ชีวิตใหม่”
ไม่ได้เป็นคำใหญ่โต ยิ่งใหญ่ หรือว่า พิเศษอะไรมากมาย
ผมนึกถึงแบบฝึกหัดหนึ่ง ในเวิร์คช็อปของผม ที่เปรียบเทียบช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตของพวกเรา เสมือนหนึ่ง ก้อนหินแต่ละก้อนในธารน้ำตก
เวลาที่เราไปเที่ยวน้ำตก เราก็จะต้อง “ก้าวกระโดด” จากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง
ก้อนหินบางก้อนก็เล็กเกือบไม่พอ บางก้อนก็ลื่นจนเราลื่นไถล
บ่อยครั้งที่เราก็อาจจะต้องเปียกน้ำบ้าง
ช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตของคนเราก็เปรียบเสมือนก้อนหินแต่ละก้อน
ที่รอให้เราก้าวข้ามผ่านไปและผ่านไป
บางช่วงก็ดี เป็นช่วงเวลาที่วิเศษ มีความสุข
บางช่วงก็อาจจะพลั้งพลาด เลวร้าย หรือเป็นวิกฤติของชีวิตเราได้เช่นกัน
“สู่ชีวิตใหม่” ในความหมายนี้ จึงทำให้ผมนึกถึงการก้าวกระโดด จากก้อนหินหนึ่งในชีวิตของเรา ไปยังก้อนหินอีกก้อนหนึ่งในชีวิตของเรา
ซึ่งทุกคนก็ได้ผ่านเหตุการณ์แบบนี้กันมาทั้งนั้น รวมทั้งตัวผมด้วย
เวลาที่เราก้าวกระโดดผ่าน “ก้อนหิน” ไปเรื่อยๆ ตามเวลาแห่งชีวิตของเราแต่ละคน
ยิ่งเราผ่านก้อนหินมากก้อนเท่าไหร่
ถ้าเราเรียนรู้หรือมองเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ เราจะพบว่า
“ทักษะชีวิต” ของเราควรจะถูกสั่งสมมากขึ้นไปตามลำดับ และตาม “วัยวุฒิ” ของเรา
แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องได้เจอกับก้อนหินที่สวยงามปลอดภัยมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะบางครั้งก้อนหินก้อนต่อไปของเรา
อาจจะเป็นก้อนที่ทำให้เราต้องลื่นล้มเปียกปอนและเจ็บปวด
“การเรียนรู้ทักษะชีวิต” ที่เพิ่มมากขึ้นของเรา
ไม่ได้รับประกันว่าเราจะไม่เจ็บปวด
ตรงกันข้ามเลย เรื่องเหล่านี้อาจจะหมายถึง ความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป
แต่ถ้าเรายังรักษาคุณภาพแห่งการเรียนรู้
เราจะพบว่าเรื่องเหล่านี้สามารถช่วยให้เราอยู่กับความเจ็บปวดได้ดีมากขึ้นได้ตามอัตภาพ
ช่วงปี 2543 ผมได้กลายมาเป็นนักเขียนเป็นครั้งแรก
หนังสือสองเล่มแรกในชีวิต คือ “วิถีแห่งกอล์ฟ: ชีวิตลมหายใจและการเรียนรู้”
และ “หัวใจใหม่ชีวิตใหม่: สู่อิสรภาพและความสุขฉับพลัน” ในปี 2546
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีมาก ผมได้ก้าวกระโดดไปยังก้อนหินก้อนใหญ่ที่มั่นคง
และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ท่ามกลางเสียงน้ำตกที่ไหลริน อากาศที่เย็นสบายผ่อนคลาย
ต่อจากนั้น ในช่วงปี 2547-2552 ผมได้มีโอกาสลองเขียนบทความเป็นบทๆ
เป็นคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ร่วมหนึ่งร้อยกว่าบทความ
และได้ถูกรวบรวม เรียบเรียง กลายมาเป็นบางส่วนของหนังสือเล่มนี้
เนื้อหาในบทความเหล่านั้น ซึ่งได้ถูกเรียบเรียงมาเป็นหนังสือเล่มนี้
เป็นการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เขียนเอาไว้ในหนังสือหัวใจใหม่ชีวิตใหม่
ออกมาเรียบเรียงเขียนใหม่ด้วยบริบทของภาคปฏิบัติจริงในชีวิตของผมช่วงนั้น
เช่น ผมจำบทความแรกๆ ที่เขียนได้ “สภาวะแห่งความเป็นปกติ” หรือ “สุข-สภาวะ”
ว่าในชีวิตของคนเรามีสภาวะแบบนี้อยู่ แล้วก็ได้ลองตั้งคำถามประมาณว่า
ตอนนี้ จังหวะนี้ ตัวเรากำลังอยู่หรือไม่ได้อยู่ในสภาวะแบบนี้
หรือ เราจะหาทางนำพาให้ตัวเราเข้าสู่สภาวะที่เป็นประโยชน์แบบนี้ได้อย่างไรบ้าง?
หรือบทความเรื่องความโกรธ
ผมก็ได้นำข้อมูลจากหนังสือหัวใจใหม่ชีวิตใหม่
ที่ว่าความโกรธทำให้ภูมิต้านทางในน้ำลายของเราลดลง มาประกอบ
เขียนถึงตรงนี้ ผมอยากจะเรียนว่า
แม้ว่าตัวข้อมูลวิจัยประกอบที่นำมาเสนอในหนังสือหัวใจใหม่ชีวิตใหม่ จะเป็นงานวิจัยที่ทำมานานแล้ว เมื่อถึงตอนนี้
แต่ประเด็นการวิจัย ผลของการวิจัย ยังนับได้ว่า เป็นเรื่องใหม่ที่มีประโยชน์อยู่ในตอนนี้สมัยนี้และไปอีกนาน
เช่นในกรณีนี้ ตัวงานวิจัยเรื่องภูมิคุ้มกันในน้ำลาย อาจจะเป็นเรื่องเก่า ทั้งยังอาจจะมีงานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับภูมิต้านทานปรากฏมากขึ้นในต่อๆ มา หรือแม้แต่ปัจจุบัน แต่ผลของงานวิจัยในเรื่องนี้ ที่ว่า
“ความโกรธมีผลกระทบด้านลบต่อภูมิต้านทานของมนุษย์” ยังถือว่าเป็นข้อมูลที่ทันสมัยเสมอและยังมีประโยชน์มากมายอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น
หรือในเรื่องของการขอบคุณ สมัยนั้น ก็ยังหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนประโยชน์ของการขอบคุณได้ไม่ง่ายนัก
แต่ปัจจุบันปี 2563 ข้อมูลเรื่องการขอบคุณมีมากมายมหาศาล
และไม่ต้องสงสัยอีกเลยว่า การขอบคุณมีประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของมนุษย์
ต้องทำความเข้าใจกันด้วยว่า ในช่วงปี 2544-2546 ที่ผมเขียนเรื่องราวเหล่านี้
ข้อมูลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังมีไม่มากเท่าปัจจุบันปี 2563
ซึ่งจะมีข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ปรากฏอยู่มากมายเต็มไปหมด
สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเพียงทำให้ตัวเราเชื่อว่าดี เชื่อว่ามีประโยชน์
แต่การปฏิบัติจริง และประสบการณ์จริงในชีวิตจริง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าแค่รู้แล้วไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
มีข้อมูลเอาไว้คุยโม้โอ้อวดกัน ก็ไร้ประโยชน์
ยกตัวอย่างเช่น ใครๆ ก็รู้ว่า ออกกำลังกายดี มีประโยชน์ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำ เป็นต้น
ปรากฏการณ์สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วยก็คือ
ผมได้พยายามนำเสนอเรื่อง “Dialogue”
หรือที่ในหนังสือหัวใจใหม่ชีวิตใหม่ เขียนไว้ในบทที่ 29 ผมได้ใช้คำแปลเป็นว่า “การสนทนาอย่างสุนทรีย์”
ซึ่งต่อมา ดร.เอเชีย ในกลุ่มจิตวิวัฒน์ได้เสนอเปลี่ยนชื่อมาเป็น “สุนทรียสนทนา”
ในตอนนั้น ผมพยายามสอดแทรกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “ปฏิบัติการ” ของสุนทรียสนทนา ให้สังคงได้รับรู้ว่า กระบวนการนี้มีประโยชน์อย่างไร
“การฟังอย่างลึกซึ้ง” ก็เป็นหัวข้อนำร่องที่มีคนอ่านสนใจเป็นอย่างมาก
ซึ่งแม้แต่การประชุมใหญ่ของสถาบันพัฒนาคุณภาพระบบโรงพยาบาล ในปี 2549 ที่อิมแพคเมืองทองธานี
ผมก็ได้รับเชิญให้ไปพูดหัวข้อนี้ ในงานนั้น ก็เป็นผลจากการเขียนบทความ “การฟังอย่างลึกซึ้ง” ซึ่งโยงกับ “ปฏิบัติการสุนทรียสนทนา” นี้นี่เอง
ข้อมูลอาจจะเป็นข้อมูลเก่า แต่เรื่อง “การฟังอย่างลึกซึ้ง” ก็ยังคงมีความสำคัญมากมายอยู่ในปัจจุบัน ต่อการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจต่อกัน
โดยรวมๆ บนก้อนหินก้อนนี้ ผมได้พบข้อมูลเรื่องราวและการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์มากมาย
แน่นอนครับว่า ผมไม่บังอาจพูดได้เต็มปากว่า
สิ่งที่ผมได้ค้นพบและเรียนรู้ จะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนกับผู้อ่าน
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะได้เป็นพื้นฐานสำคัญให้การพัฒนาตัวเองของผม
ในแง่ของมิติทางจิตวิญญาณ
เกิดเป็น “ร่องรอย” แห่งการเรียนรู้ในชีวิตของผม
และ “ร่องรอย” บนก้อนหินก้อนนั้น
ก็น่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ที่แวะเวียนกระโดดขึ้นไป
เช่นเดียวกันกับผม ที่ได้พบ “ร่องรอยทางจิตวิญญาณ” ของปราชญ์มากมาย
ที่ได้เคยแวะเวียนขึ้นไปเรียนรู้บนก้อนหินก้อนนี้ ก่อนหน้าผม
อย่างไรก็ตาม การปรากฏเป็น “ร่องรอย” แห่งชีวิตและการเรียนรู้นั้น
ไม่ได้หมายความว่า เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบ
ตรงกันข้ามเลย
ใน “ร่องรอย” เหล่านี้ ปรากฏซึ่งอะไรบางอย่างที่ยัง “ขาดตกบกพร่อง” อยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม “ร่องรอย” เหล่านี้ยังมีคุณค่าสำหรับการเรียนรู้เสมอ
และยังสามารถเป็นประโยชน์มากมาย
ไม่ว่าจะสำหรับผู้ที่ไม่พบความไม่สมบูรณ์แบบ
และผู้ที่พบเห็นความขาดตกบกพร่องเหล่านั้น
ก้อนหินก้อนนี้ ถือได้ว่าเป็น “ก้อนหินแห่งจิตวิญญาณ”
ก้อนหนึ่ง ในชีวิตของผมได้เลยทีเดียว
ตรงนี้ผมต้องขออนุญาตอธิบายอย่างสั้นที่สุดถึง ความหมายของคำว่ามิติทาง “จิตวิญญาณ”
ในที่นี้ ผมไม่ได้หมายความเป็นเรื่องศาสนานะครับ
แต่เป็นอะไรก็ได้ที่ทำแล้ว
หนึ่ง มีความสุข
สอง มีความหมายกับชีวิตของตัวเราเอง
และสาม ทำให้ตัวเราเองได้เติบโต
โดยส่วนตัวผมเอง สารภาพว่า
ตัวผมค่อนข้างประหลาดใจมาก ที่คุณหมอเนตรให้ความสนใจกับบทความเก่า ในช่วงปี 2547-2552 โดยประมาณเหล่านี้
เพราะผมไม่คิดว่า บทความเก่าๆ จำนวนมากของผมนี้จะยังมีผู้ใดสนใจ
คุณหมอเนตรพูดกับผมประมาณว่า แม้มันจะเก่าสำหรับผม มันก็อาจจะยังใหม่สำหรับคนอื่นๆ
“ร่องรอยแห่งจิตวิญญาณ” เหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลที่คุณหมอเนตร รามแก้ว “รู้สึกได้ถึง”
เมื่อได้อ่านข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเยอะมากๆ
เป็นบทความที่มากกว่า 100 บทความ
ในช่วงเวลา4-5 ปี บนก้อนหินก้อนนั้น
ในปี 2563 นี้ ยังถือได้ว่าเป็นโอกาสครบรอบ 20 ปี ของการนำพาชีวิต “เข้าสู่วงการจิตวิญญาณ” ของผม
ชีวิตผมได้ผ่านก้อนหินมาอีกหลายก้อน
ซึ่งได้ทำให้ผมได้พบว่า บางทีในชีวิตคนเรา อาจจะมีสิ่งสำคัญที่สุดอยู่เพียงแค่สองสามเรื่องเท่านั้น
คือ จะมีชีวิตอยู่อย่างไรให้มีความสุข มีความหมาย
และจะตายอย่างไรที่ไม่ทุกข์ทรมานมากจนเกินไป
จะว่าไป หนังสือ “สู่ชีวิตใหม่” เล่มนี้
เป็นการเดินทางบนก้อนหินที่ได้ค้นหาความสุขและความหมายในการมีชีวิตอยู่ของผม
ยังไม่ค่อยได้เข้าไปแตะต้องถึง “ความตาย” สักเท่าไรนัก
ซึ่งผมรู้ตัวเองในเรื่องนี้ดีว่า ที่ผ่านมาตัวผมเองก็ยังไม่มีความพร้อมในเรื่องนี้
จึงไม่สามารถที่จะสอดใส่เรื่องราวในเรื่องนี้ เข้าสู่หนังสือเล่มนี้ได้
ผมจะยังคงก้าวเดินลึกเข้าไปสู่ “ก้อนหินแห่งจิตวิญญาณ” ก้อนต่อๆ ไป
เดินทาง “สู่ชีวิตใหม่” ภาคต่อๆ ไป
ด้วยหัวใจแห่งการเรียนรู้ ด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น และรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่กำลังจะปรากฏขึ้นกับชีวิตของผม
และนี่คือส่วนหนึ่งของ “ชีวิต” ที่ควรจะต้องเป็นไป
ท้ายที่สุดนี้ ผมแอบตั้งความหวังเอาไว้ว่า
ชีวิตที่เหลืออยู่ของผม และหากยังสามารถอยู่ได้อีก 20 ปี
ผมน่าจะได้เขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ข้อสุดท้ายนี้ได้ดีมากขึ้น
“จะตายอย่างไร ให้ทุกข์ทรมาน ไม่มากเกินไป”
หรือ “จะตายอย่างมีความหมาย” เป็นอย่างไร
อืมมม อะไรประมาณนั้น
นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
กรกฎาคม 2563, เชียงราย
Comments