ยินดีต้อนรับ
ผมอาจจะเดินช้าหน่อย เดินได้ทีละน้อยๆหน่อย แต่ผมไม่เคยหยุดเดิน นี่คือเหตุผลว่าทำไม ผมพบว่าผมยังอยู่แนวหน้าของความคิดต่างๆ ที่ล้ำหน้าอยู่เสมอ “ความคิดที่ล้ำหน้า” มิได้หมายถึงความทันสมัยทางด้านเทคโนโลยีภายนอกต่างๆ หากแต่หมายถึง ความล้ำหน้าที่กินลึกเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของตัวผมเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์
นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์

วันนี้ หมอวิธานอยากบอกอะไรกับโลกใบนี้
14 พฤศจิกายน 2568
“พบสุขในสุข เป็นเรื่องง่ายมาก ใครๆ ก็ทำได้
แต่การพบสุขในทุกข์ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้”
สำหรับผมแล้ว การเรียนรู้ที่จะค้นหาความสุขในยามที่เรากำลังทุกข์ เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การลงทุนเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
เราอาจจะล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก บนกองทุกข์ของเรา แต่ทุกครั้งหากเราสามารถบอกตัวเองให้ทันได้ว่า “เราสามารถเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีกได้เสมอ” เราจะค่อยๆ ก้าวหน้าได้มากขึ้นทีละนิดทุกครั้งที่ทุกข์
เราอาจจะเริ่มจากการ “พบสุข” เล็กๆน้อยๆ จิ๊บๆจ้อยๆ บนกองทุกข์ของเราก่อน เช่น เพียงแค่เรายิ้มได้สักแว้บในจังหวะนั้น หรือมองเห็นท้องฟ้าสีครามสวยงามได้ในจังหวะนั้น ก็สามารถนับเป็น “ความก้าวหน้าของสมอง” ของเราได้แล้วในหลักการของ MicroHabits
อันที่จริงผมพอจะทราบเรื่อง “หาสุขในทุกข์” มานานร่วม 20 กว่าปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยให้ความสนใจเรียนรู้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที เรียนรู้แบบสะเปะสะปะไม่เป็นระบบ จนกระทั่งเมื่อปี 2020 ที่ผมได้ค้นพบ MicroHabits แล้วนำเรื่องนี้ไปใส่เอาไว้ในตารางไมโครแฮบบิท ผมเริ่มรู้สึกถึง “การเรียนรู้ที่เป็นระบบ เป็นเรื่องที่ควรทำ แม้กับการเรียนรู้เล่นๆ ด้วยตัวเราเอง”
4-5 ปีผ่านมานี้จนถึงวันนี้ ผมยังไม่สามารถพูดได้ว่า ผมประสบความสำเร็จในการเรียนรู้เรื่อง “พบสุขในทุกข์” ได้ แต่ผมกล้าพูดได้ว่า ผมเกิดความก้าวหน้าอย่างมากมายในช่วงสี่ห้าปีมานี้ด้วยการใช้ MicroHabits เพราะเป็นวิธีการเรียนรู้ที่เป็นระบบ จับต้องได้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมได้จริงครับ
เล่ามา เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ตรงของตัวเอง ความคิดความเชื่อของผมในเรื่อง MicroHabits อาจจะไม่ได้ถูกต้องก็ได้ ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณด้วยตัวท่านเอง
—
21 ตุลาคม 2568
“วิธีการใช้ความรู้ สำคัญมากกว่าเพียงแค่รู้”
ถ้าจะนับถึงสถานการณ์ปัจจุบันจริงๆ ณ เดือนตุลาคม 2568
มนุษย์ไม่ได้ขาดแคลนความรู้และข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์อีกต่อไป
หากแต่ “ขาดวิธีการที่จะนำความรู้และข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์” กับชีวิตของตัวเราเองมากกว่า
นับตั้งแต่มนุษย์เรามี AI เข้ามาช่วยรวบรวม จัดเก็บความรู้และข้อมูลต่างๆ เอาไว้อย่างเป็นระบบ สามารถพูดได้ว่า ความรู้และข้อมูลที่มนุษย์มีอยู่ในปัจจุบันออกจะล้นเหลือจนเกินจำเป็นด้วยซ้ำไป ยังไม่ต้องนับไปถึงความรู้หรือข้อมูลที่เน่าๆ หลอกลวงและไม่เป็นความจริงอีกมากมาย ซึ่งแม้แต่ AI ในหลายๆ กรณีก็ยังถือว่ามีความผิดพลาดกับข้อมูลเหล่านี้แบบที่ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เลย เพราะ AI ไม่ใช่มนุษย์ที่จะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป
“MicroHabits” เป็นวิธีการหนึ่ง ที่ผมกล้าพูดได้ว่า เป็น “ช่วงบุกเบิก” ที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถนำความรู้และข้อมูลที่มีประโยชน์ต่างๆ เหล่านั้น เข้ามาอยู่ในเนื้อในตัวของมนุษย์เราได้อย่างจริงๆ จังๆ คือมาทำให้เกิดเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงกับชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องสุขภาพ เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ และความหมายแห่งชีวิตและพันธกิจที่แต่ละคนได้เกิดมา
แน่นอนว่า อาจจะมี “หลายวิธี” ที่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้ คือ “นำความรู้มาใช้อย่างแท้จริง” ไม่ใช่แค่รู้แล้วไม่ได้ปฏิบัติจริง
ผมขอปวารนาตัว เป็น “ผู้บุกเบิก” ในเรื่องนี้ และอยากเห็นมนุษย์ร่วมกันพัฒนา “วิธีการใช้ความรู้” มากกว่าเพียงแค่ “รู้” ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นไปได้มากกว่าสิ่งที่ MicroHabits สามารถทำได้ในเบื้องต้นเบื้องแรกนี้ครับ



