คำนำสำหรับ Cleveland Way
- Withan Thanawuth
- Oct 2
- 2 min read
ปี 2543-44 ผมทำโครงการหัวใจใหม่ชีวิตใหม่
แล้วเขียนเป็นหนังสือเล่มโต ชื่อเดียวกัน
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกระบวนทัศน์ใหม่ที่เน้นการดูแลตัวเอง
โดยเฉพาะเรื่องของการดูแลอารมณ์ความรู้สึก ด้วยวิธีต่างๆ
ภายใต้สมมติฐานที่ว่า
อารมณ์ที่เป็นความเครียดทำให้เกิดโรคทางกาย
การรักษากายอย่างเดียวด้วยวิธีการแพทย์ตะวันตกหรือทางเลือก
เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะต้นน้ำคือความเครียด
หลังจากนั้น ปี 2548 ผมได้หันมาทำกระบวนการเรียนรู้เรื่องสุขภาพแบบใหม่
ในกระบวนการมี “สุนทรียสนทนา” เป็นแกนกลาง
ต้องเรียนรู้ด้วยการทำกระบวนการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ ที่ไม่ใช่การเลคเชอร์
ระหว่างทาง ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้คนในแวดวงที่สนใจสุขภาพแบบใหม่นี้หลายคน
คุณหมอวรวุฒิ โฆวัชระกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย จ.เชียงใหม่
เป็นผู้หนึ่ง ที่นับตั้งแต่รู้จักกัน ก็สนิทกัน ทำงานด้วยกันมากขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นพี่น้องที่คอยให้คำปรึกษากันและกัน ทั้งในเรื่องงานและส่วนตัว
คุณหมอวรวุฒิ เป็นนักอ่านไม่น้อยไปกว่าผม
มีข้อมูลใหม่ๆ หลายๆ ด้าน ที่ผมไม่มีและไม่ถนัด
ผมเน้นเรื่องการพัฒนา soft skills เป็นหลัก
ทำอย่างไรจะให้คนเข้าสู่สภาวะสงบ สบายและเกิดการเรียนรู้ได้รวดเร็วที่สุด
ยั่งยืนและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วที่สุด
คุณหมอวรวุฒิ เป็นนักบริหารที่สนใจนำเรื่องราวในเชิงยุทธศาสตร์
ทำอย่างไรให้ระบบสาธารณสุขแบบใหม่
สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพดีที่สุด
เรามีความเหมือนกันและไม่เหมือนกันในเส้นทางและชีวิต
แต่เรามีจุดหมายเดียวกัน
เพื่อการเรียนรู้สู่สุขภาพที่ดีที่สุดของตัวเราเองในเบื้องต้น
(ผมพูดแบบตรงๆ ไม่อายว่าแน่นอนผมเห็นแก่ตัวก่อน)
และของประชาชนคนทั่วไปเป็นลำดับถัดมา
ระหว่างทาง ยังมีคุณหมอสกล สิงหะ ที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วย
พวกเราได้พัฒนา software ที่เป็น soft skills ในระดับที่พวกเรามั่นใจมากว่า
ดีที่สุดไม่น้อยหน้าใคร
สิบกว่าปีที่ทำงานแบบนี้มาเรื่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ
ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบสาธารณสุข เป็นที่น่าพึงพอใจ
(คนอื่นๆ หลายๆ คนก็ช่วยกันทำงานในแบบของพวกเขานะครับ
ไม่ได้หมายความว่า เป็นเพราะพวกเราเพียงสามคนนี้)
โดยเฉพาะกับระบบปฐมภูมิของสาธารณสุข เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก
ในทิศทางที่พวกเราเห็นแล้วสบายใจ
อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม 2560
ผมได้ยินข่าวร้ายข่าวหนึ่งที่สะเทือนใจผมมากที่สุด ในฐานะคนทำงานด้านนี้
เด็กผู้ชายอายุ 15 ปี คนหนึ่งปวดท้องแล้วไปโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง (ของรัฐ)
ระหว่างรอตรวจที่หน้าห้องผู้ป่วยนอก เด็กคนนี้ช็อค
และในที่สุดเสียชีวิตตายคาเตียงเปลที่นอน
แม้ว่าในที่สุดจะพบว่า เป็นกรณีสุดวิสัยจริงๆ เด็กอายุ 15 ปีคนนี้
เป็นโรคหายากชนิดหนึ่งก็ตาม (เส้นเลือดใหญ่ที่ท้องโป่งพองและแตกออก)
โรงพยาบาลของรัฐถูกมองว่าเป็นโรงฆ่าสัตว์อีกแล้ว
(ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนก็ถูกมองว่าเป็นแหล่งละลายทรัพย์)
ความจริงข่าวทำนองนี้ปรากฏอยู่เนืองๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าคนที่ทำงานด้านสาธารณสุขทุกภาคส่วน
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย จะตั้งใจทำงานหนักมากเพียงไหน
เรื่องแบบนี้ยังปรากฏอยู่เนืองๆ
บั่นทอน ทั้งกำลังใจ กำลังกาย กำลังสติปัญญา
เรียกว่าหมดแรงกันเอาง่ายๆ เลยทีเดียว
ในฐานะผู้สูญเสีย และประชาชนผู้เข้าไปรับบริการ
ก็รู้สึกแย่มาก ไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ผม ในจังหวะนั้น ในฐานะผู้สังเกตการณ์
และพอจะเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย
ก็รู้สึกแย่ ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไรนัก
เหตุการณ์นั้นทำให้ผมรู้สึกแย่มาก
ในความคิดของผมวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้
ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ทำไมยังมีจุดบอดอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐ ให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมาได้
แน่นอนว่าไม่ใช่ความตั้งใจที่จะทำผิดของใคร
แต่ความไม่ตั้งใจที่ทำให้เกิดการสูญเสียร้ายแรง
สามารถถูกป้องกันขึ้นได้ดีกว่านี้มั้ย???
ถ้าวันนั้น มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสักคนเข้าดู เข้าไปพูดคุยกับญาติบ้าง
จะยังถูกฟ้องร้องมั้ย?? หรือแม้แต่เด็กจะรอดมั้ย??
ผมค่อนข้างฟุ้งซ่านและหมกมุ่นกับความคิดเหล่านั้น
ความอึดอัดทางความคิดของผมแบบนั้น
ทำให้ผมต้องหันไปปรึกษาคุณหมอวรวุฒิอย่างไม่เกรงใจ
เพราะว่า ขณะนั้นเพิ่งฟื้นจากความเจ็บป่วยที่หนักหนาของคุณหมอ
คุณหมอวรวุฒิรู้สึกร่วมไม่น้อยไปกว่าผม
การพูดคุยกันทำให้คุณหมอวรวุฒิพูดถึงเรื่อง ดีวีดีสารคดีเรื่องหนึ่ง
ที่ชื่อ “Escape Fire” (การหนีไฟ)
ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงได้ชื่อ “หนีไฟ”
พอได้ดูเนื้อหาถึงได้เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงเปรียบเทียบแบบนั้น
ประมาณว่า ระบบสาธารณสุขอเมริกันกำลังเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง
แล้วเรามีวิธีต่อสู้เพื่อที่จะดับไฟที่กำลังไหม้ (อย่างรุนแรง) อย่างไรได้บ้าง???
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นตัวเลขที่น่ากลัวของการใช้เงินในระบบสาธารณสุขอเมริกัน
การใช้เงินในระบบสาธารณสุขอย่างเดียวของเขา เมื่อ 10 ปีก่อนของเขา
ยังสูงกว่า จำนวนงบประมาณแผ่นดินในปัจจุบันของไทย (เวลาต่างกัน 10 ปีนะ)
ทุกกระทรวงรวมกันถึง 30-35 เท่า
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ แม้อเมริกาจะใช้เงินมากมายขนาดนั้นแล้ว
ก็ยังพบตัวเลขของคนอเมริกันที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลแบบที่ไม่ควรต้องจบชีวิตไป
ถึงปีละร่วมแสนคน
(Medical error & Hospital acquired infection)
เป็นอันดับ 3 ของสาเหตุการเสียชีวิตของคนอเมริกัน รองจาก โรคหัวใจ มะเร็ง
แซงหน้าโรคเส้นเลือดสมองตีบแตก ซึ่งมาเป็นอันดับ 4
ไม่นับถึงคนอเมริกันแท้ๆ ที่ไม่มีประกัน
เวลาที่เจ็บป่วยจะลำบากมากกว่าคนไทยที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง
(เพราะเค้าไม่มี 30 บาท)
นอกจากนั้นเรื่องหลักๆ อีกเรื่องหนึ่งในดีวีดี Escape Fire นี้
ยังพูดถึงแนวทางการแก้ไข พูดถึงเรื่องของการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ต่างๆ
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ผมเขียนเอาไว้แล้วในหนังสือหัวใจใหม่ชีวิตใหม่!!!
ในคลิปนี้มีหลายตอนที่พูดถึง โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
“คลิฟแลนด์คลินิก” (Cleveland Clinic)
ชื่อเป็นคลินิกแต่ที่จริงเป็นศูนย์การแพทย์ที่มีแพทย์เฉพาะทางมากกว่า 4000 คน
เป็นศูนย์การแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของโรคหัวใจ
เป็นแห่งแรกในโลกที่ทำการผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดที่หัวใจ (1967)
กล่าวคือ เป็นหน่วยงานตติยภูมิ ที่แม้จะเป็นเอกชน
แต่เขาตระหนักถึงปัญหาใหญ่ที่จะทำให้ระบบสาธารณสุขถึงกับล่มสลายได้
ในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว และเรื่องการฟ้องร้องทางกฏหมาย
มีอยู่ตอนหนึ่งที่ซีอีโอของคลิฟแลนด์คือ Toby Cosgrove พูดอะไรบางอย่างในดีวีดี
ที่น่าสนใจมาก
ในจังหวะนั้นคุณหมอวรวุฒิ ก็ถามผมว่า
Toby Cosgrove เขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง เล่าเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่เขาทำงาน
กับสุขภาพแนวใหม่นี้ในศูนย์การแพทย์ใหญ่แบบคลิฟแลนด์
พี่มีหรือยัง???
คำพูดนี้คือ ประโยคสำคัญประโยคหนึ่งที่ทำให้คุณผู้อ่านได้หยิบจับหนังสือเล่มนี้
ในภาคภาษาไทย
เพราะหลังจากนั้น
ผมก็ได้สั่งหนังสือ The Cleveland Clinic Way จาก amazon มาอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อยากรู้ว่า Toby Cosgrove ซึ่งเป็นศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ทั้งยังเป็นซีอีโอใหญ่
ทำอย่างไรให้แพทย์เฉพาะทางหลายพันคน ไม่นับพยาบาลเจ้าหน้าที่อีกเป็นหมื่นคนเห็นคล้อยตามเขาได้
วิธีการทำงานของเขา ทำอะไร อย่างไรบ้าง ที่จะนับได้ว่าเป็น Escape Fire???
Cleveland Clinic ที่ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา บอกว่าเป็นทางรอดของระบบสุขภาพอเมริกัน มันเป็นยังไงกันแน่????เมื่อได้ตัวอย่างง่ายๆ ที่หนังสือเล่มนี้เขียนถึงคือ Red Coat ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก
เมื่อได้หนังสือเล่มนี้มา ผมก็พลิกๆ ดูอย่างเร่งด่วนไปทั่วๆ เพื่อค้นหาเรื่องที่ผมต้องการคำตอบ ตัวอย่างแรกที่อ่านเจอเลยก็คือ เรื่องของคนชุดแดง (Red Coat)
คนที่ใส่ชุดแดงที่คลีฟแลน จะมีหน้าที่คอยสอดส่องดูแล รับรู้ความรู้สึกของผู้มารับบริการ
Red Coat เป็นรูปธรรมที่ผมมองเห็นทันทีว่า
ถ้าเด็กอายุ 15 ปี คนนั้นที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ในเดือนสิงหาคม 2560
ถูก Red Coat คนใดคนหนึ่งมองเห็น
แล้วเข้าไปกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยทันที
เรื่องราวมันจะแตกต่างออกไปอย่างไร??
ผมพบว่า คุณหมอ Cosgrove ทำอะไรๆ หลายๆ อย่างที่น่าสนใจมาก
และทำได้จริง
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 8 บท
ผมพบว่า โดยเฉพาะบทที่ 5 และ บทที่ 6 เป็นเรื่องของมุมมองสุขภาพใหม่ที่เป็นองค์รวม
คือเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ผมได้เคยเขียนเอาไว้ในหัวใจใหม่ชีวิตใหม่
บทอื่นๆ ก็น่าทึ่งมาก เพราะเขาสามารถหลอมรวมแนวคิดสุขภาพแบบให้ ให้เข้ากับบริบทความทันสมัยและความเป็นยิ่งกว่าตติยภูมิของคลีฟแลนด์ได้ เช่นเรื่องเก็บข้อมูลสำคัญในบทที่สอง การทำให้แพทย์เฉพาะทางหลายๆ คนมาร่วมมือกันดูแลคนไข้ได้อย่างเป็นองค์รวม
เราคุยกันว่า เราควรจะเริ่มงานเรื่องนี้กันเลย
ปัญหาหลักๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยก็คือ
ค่าใช้จ่ายที่สูงวนเวียนกับการฟ้องร้องร้องเรียน
เรื่องนี้ทำให้เกิดความกลัวที่รุนแรง ความไม่ไว้วางใจ
และการสื่อสารระหว่างมนุษย์ที่ล้มเหลวในงานบริการการแพทย์
โดยเฉพาะระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการกับผู้มารับบริการ
เราจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะนำซอฟแวร์การเรียนรู้เรื่อง emotionology และ empathy ที่เรามีมาใช้จริงๆ กับงานบริการในระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ
เดือนตุลาคม ปีเดียวกัน คุณหมอวรวุฒิได้ชวนผมมาช่วยกันพูดถึงแนวคิดเรื่องนี้
ให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ฟัง
เป็นจังหวะที่คุณหมอเนตร รามแก้ว แวะไปเชียงใหม่พอดี พวกเราได้มีโอกาสพูดคุยกันถึงเรื่องแนวคิดในหนังสือเล่มนี้
คุณหมอเนตร ให้ความสนใจกับหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ และในที่สุดก็ได้หาทางขอลิขสิทธิ์ เพื่อแปลหนังสือเล่มนี้มาเป็นภาษาไทย ตามที่ท่านผู้อ่านจะได้อ่านในหน้าต่อๆ ไป
และในจังหวะเดียวกัน คุณหมอเยาวลักษณ์ จริพงศ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกำลังคนที่โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ได้เชิญให้ผมไปพูดคุยกับน้องๆ กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ผมถือโอกาสพูดคุยเรื่องนี้ และเป็นที่มาของโครงการ escape fire ที่เชียงรายเมื่อวันที่ 17มกราคม 2561
ความบังเอิญหลายๆ อย่างที่ได้ปรากฏในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เล่ามา
ได้ก่อรูปให้หนังสือเล่มนี้ได้ถูกดำเนินการโดยคุณหมอเนตร รามแก้ว ได้ขอลิขสิทธิ์ดำเนินการ และถูกแปลอย่างดี โดยนักแปลชั้นแนวหน้าของเมืองไทย คุณป้าวิ วิภาดา กิตติโกวิท ผู้ซึ่งสามารถทำให้เข้าใจและเข้าถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้นฉบับต้องการจะสื่อออกมา
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านผู้สนใจในแนวคิดเรื่องสุขภาพแบบใหม่ จะเกิดความตื่นตาตื่นใจ ไม่น้อยไปกว่าผม เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้
อย่างน้อยที่สุด นี่ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก
ที่เราจะได้ช่วยกันหาทางป้องกัน แก้ไข จุดบอดต่างๆ
ที่กำลังปรากฏอยู่ในระบบสุขภาพไทย
ไฟกำลังไหม้
ถ้าเป็นไปได้ เราควรจะต้องช่วยกันดับไฟ
นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
Comments